บทที่ 3. ตำนานดาราคาวบอย

            หากมีแต่คาวบอยตัวจริงในทุ่งหญ้าดังกล่าวไว้ในบทที่ ๒ คนทั้งโลกคงไม่รู้จักพวกเขามากมายดังเช่นทุกวันนี้ พวกเขาก็คงจะเป็นผู้ปิดทองหลังพระเหมือนชาวนาไทย และเกษตรกรทั่วไปในประเทศต่างๆ ทั่วโลก สิ่งที่ทำให้คาวบอยกลายเป็นวีรบุรุษในดวงใจของคนจำนวนมาก คือคนที่นำวิถีชีวิตของพวกเขามาแสดงให้คนทั่วโลกได้รู้จัก พวกเขาคือดาราคาวบอย ผู้เป็นตำนานและมีส่วนในการเสริมสร้างค่านิยมในวัฒนธรรมตะวันตกให้คงอยู่  ยิ่งกว่าคาวบอยตัวจริงตามทุ่งกว้างดังกล่าวแล้ว

 

3.1.  บัฟฟาโล บิลล์  ดาราคาวบอยคนแรก

                บัฟฟาโล บิลล์ วีรบุรุษตะวันตกและนักแสดงที่โด่งดังก้องโลกในยุคคาวบอย มีชื่อเดิมว่า   วิลเลียม เฟรดเดอริค โคดี้ (William Frederick Cody -February 26, 1846 – January 10, 1917) เขาเป็นนักสู้ชีวิตตัวฉกาจ ในวัยเด็กอายุแค่ 11 ขวบ เขาช่วยพ่อให้รอดชีวิตจากพวกม๊อบ ที่ฮือเข้าทำร้ายพ่อขณะปราศรัยต่อต้านการมีทาส แต่แผลถูกแทงโดยพวกม๊อบ ทำให้พ่อเขาต้องตายในเวลาต่อมา เขาจึงต้องออกหางานทำทุกอย่าง เพื่อช่วยแม่ดูแลครอบครัว เริ่มต้นจากการเป็นนักล่าสัตว์ด้วยการวางกับดัก พออายุได้แค่ ๑๔ ปี เขากลายเป็นนักล่าแร่ทองคำผู้หนึ่งในตำนานตื่นทองยุคปี  ๑๘๕๙ ช่วงเร่ร่อนหาทอง เขารับจ้างขี่ม้าส่งจดหมายด่วน ให้บริษัทโพนี่เอกซ์เพรส ด้วย ชีวิตในตอนหลัง เขาได้เป็นหัวหน้ากองเกวียนอพยพ เป็นคนขับรถม้าโดยสาร และในปี ๑๘๖๓ เป็นทหารในสงครามกลางเมือง สังกัดกรมทหารม้าที่ ๗ ของแคนซัส

                เมื่อสงครามสิ้นสุด เขาอายุแค่ ๒๐ ปี ในปี ๑๘๖๗  เขาต้องเลี้ยงชีพด้วยการเป็นนักล่าควายป่า เพื่อนำเนื้อไปขายให้คนงานสร้างทางรถไฟสายแคนซัส-ปาซิฟิก มีรายงานว่า เฉพาะตัวเขาเอง เขาฆ่าควายป่าไปถึง ๔,๒๘๐ ตัวภายใน ๑๗ เดือน และนี่คือที่มาของฉายา บัฟฟาโล บิลล์ (ควายบิลล์)

จากประสบการณ์ในป่าเขาอันมากมายนี้ ระหว่าง ค.ศ. ๑๘๖๘-๑๘๗๒ เขาจึงได้รับการว่าจ้างให้เป็นทหารพราน ทำหน้าที่พลนำทางให้แก่หน่วยลาดตระเวนของกองทัพบกสหรัฐ สังกัดกรมทหารม้าที่ ๓ ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่แถบรัฐแคนซัส  มิสซูรี เทนเนสซี ภารกิจคือต่อสู้กับอินเดียนแดงเผ่าคิโอวา และโคมานเช่  ในงานนี้ พวกทหารยกย่องให้เขาเป็น “ตัวนำโชค” เนื่องจาก เขาสามารถพากองทหารหลีกเลี่ยงอันตรายได้เสมอ และนำการรบไปสู่ชัยชนะทุกครั้งเมื่อปะทะกัน ในปี ๑๘๗๒ เขาเป็นพลเรือน ๑ ใน ๔ ที่ได้รับเหรียญเกียรติยศขั้นสูงสำหรับทหารจากรัฐบาล[1]

                เมื่อสงครามสิ้นสุด พวกอินเดียนแดงส่วนใหญ่ยอมแพ้ เข้าไปอยู่ในค่ายกักกัน  บัฟฟาโล บิลล์ ก็หมดงานลาดตระเวน แต่เนื่องจากตอนเป็นทหารพราน เขาจะออกลาดตระเวนในหน้าร้อน ส่วนในหน้าหนาว นักเขียนนิยายชื่อ “Ned Buntline” เคยจ้างเขาไปแสดงเป็นตัวของเขาเองในละครเวทีเรื่อง “Scouts of The Prairie” ในชิคาโก และคนดูชอบมาก เขาจึงได้ความคิดในการหันมาเอาดีทางการแสดงอย่างจริงจัง  และตั้งคณะแสดงของเขาขึ้นเอง

Image:Buffalo Bill's Wild West Show.jpg

ใบปลิวโฆษณาการแสดงของบัฟฟาโล บิลล์ ไวล์ดเวสต์  จาก www.wikipedia.com

อาจเป็นเพราะต้องการช่วยศัตรูผู้พ่ายแพ้และหมดทางไป รวมทั้งช่วยคาวบอยที่ตกงานเพราะเครื่องจักร รถยนต์ เข้าไปแทนที่ และรู้ว่าชื่อเสียงเขาเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ขายได้ทางธุรกิจบันเทิง เขาจึงชักนำคาวบอย และอินเดียนแดง ที่เคยมีบทบาทและชื่อเสียงหลายคน มาร่วมแสดงด้วย เช่น หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง ซิตติ้ง บูลล์ (Sitting Bull) ซึ่งเป็นหนัวหน้าอินเดียนแดง ผู้ที่นำเหล่านักรบของเขา รุมสังหารนายพล คัสเตอร์ มือปราบอินเดียนแดง จนเสียชีวิต

นอกจากนี้เขายังแสวงหาดาราเด่นมาเสริมอีกหลายคน เช่น แอนนี โอ็กเลย์ซุปเปอร์สตาร์แม่นปืนสาวคนแรกของโลก ผู้ทำสถิติแม่นปืนเหนือทุกคนในอเมริกาและยุโรปอย่างน่าอัศจรรย์ ราชาคาวบอยคนแรก (King of the Cowboys) บั๊ก เทเลอร์(Buck Taylor) และสร้างกลุ่มนักแสดงนานาชาติขึ้นมา ประกอบด้วยพวกเผ่า คอสแซก จากรัสเซีย ซึ่งเชี่ยวชาญการขี่ม้าอย่างมาก นักพุ่งแหลน และพวกทหารม้าเก่า ให้มาแสดงร่วมกับพวกวาเคโร (vaqueros-คาวบอยแบบสเปน กล่าวไว้ในบทที่ ๒) คาวบอยและอินเดียนแดงจากถิ่นตะวันตกของอเมริกา[2]

 การแสดงของคณะบัฟฟาโล บิลล์ เป็นเรื่องแต่งผสมตำนานเล่าขาน จึงได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะหลายคนในตำนานก็ร่วมแสดงอยู่ด้วย เขาเคยต่อสู้กับหัวหน้าอินเดียนแดงเผ่าไชแอน ชื่อ เยลโลแฮร์ (Yellow Hair) ตัวต่อตัวได้ชัยชนะ และถลกหนังหัวหัวหน้าผู้นั้นได้  เขาก็นำเรื่องนี้มาใส่ไว้ในการแสดงตอนหนึ่ง

ผู้คนหลั่งไหลไปดูการแสดงของเขาจากทุกทิศ ทั้งที่เวทีกลางทุ่งหญ้า และในเตนท์แสดงที่เขาพาคาราวานออกทัวร์ทั่วประเทศ แม้ประธานาธิบดีในขณะนั้นก็เคยไปชมการแสดงของเขา ซึ่งทำให้แอนนี่ โอ๊คเลย์ กลายเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวถึงและมีชื่อเสียงที่สุดของอเมริกาในยุคนั้น  

                แม้จะกลายเป็นนักธุรกิจผู้ร่ำรวยโด่งดัง แต่ บัฟฟาโล บิลล์ ก็ไม่เคยร้างราการกลับไปเยือนถิ่นตะวันตก เช่น พาพวกเศรษฐีไปล่าสัตว์ในบางฤดูกาล  ถูกเรียกตัวเข้าประจำการเพื่อช่วยทหารแก้ปัญหาทางชายแดนกับพวกอินเดียนแดง ในปี ๑๘๗๖ หลังจากนายพลคัสเตอร์ถูกฆ่าที่ลิตเติ้ลบิกฮอร์น(Little Big horn) เขาก็ถูกเรียกเข้าประจำการและเป็นที่มาของการต่อสู้กับหัวหน้าเผ่าไชแอนชื่อ เยลโล่แฮร์ ดังกล่าวแล้ว

                สงครามกับพวกอินเดียนแดงไม่ได้สงบลงง่ายๆ ในปี ๑๘๙๐ ชื่อเสียงเกียรติศักดิ์ในชีวิตจริงของ บัฟฟาโล บิลล์ ก็ได้รับการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมีปัญหาการลุกฮือของพวกอินเดียนแดง เนื่องจากหมอผีคนหนึ่งปลุกความเชื่อเรื่อง “Ghost Dance” (แปลตามสำนวนไทยๆ น่าจะเรียกว่า ฟ้อนผี ตามความเชื่อของชาวเหนือและอิสาน) หรือบางทีพวกคนขาวก็เรียกเพี้ยนไปเป็น “Sun Dance (เต้นรำพระอาทิตย์)” ซึ่งเชื่อว่าพลังจากการเต้นและการใส่เสื้อผ้าชนิดหนึ่งที่ทำขึ้นมาจะป้องกันกระสุนได้ การเต้นรำเช่นนี้ระบาดไปตามค่ายกักกันพวกอินเดียนแดงทุกแห่ง พวกอินเดียนแดงฮึกเหิมทำท่าจะแข็งข้อ จนพวกทหารประสาทเสีย และเกิดการสังหารหมู่ขึ้นในหุบเขาที่เรียกว่า วูนเดดนี (Wounded Knee แปลว่า เข่าที่บาดเจ็บ) เหตุการณ์ครั้งนั้น บัฟฟาโล บิลล์ ได้ถูกทางการเรียกเข้าไปช่วยแก้ปัญหา ซึ่งเขาได้นำกองกำลังอินเดียนแดงที่เคยช่วยสร้างสันติภาพมาก่อน เข้าไปไกล่เกลี่ย และเดินทางไปยังวูนเดดนี เพื่อช่วยฟื้นฟูความสงบให้คืนมา

                เมื่อบัฟฟาโล บิลล์ ทำธุรกิจการแสดงประสบผลสำเร็จ เขาได้หันมาเรียกร้องสิทธิต่างๆ ให้แก่พวกอินเดียนแดงตามที่รัฐบาลเคยสัญญาไว้แต่ไม่ยอมทำตาม เขาสนับสนุนการรณรงค์สิทธิสตรีให้เท่าเทียมบุรุษ อีกอย่าง เขายังสนับสนุนการสงวนรักษาควายป่าไบซันที่เขาเคยล่ามามากมายอีกด้วย

                เกี่ยวกับพวกอินเดียนแดง บัฟฟาโล บิลล์  ได้แสดงความรู้สึกส่วนตัวเอาไว้ในชีวประวัติส่วนตัวที่เขียนเล่าโดยตัวเขาเอง (AN AUTOBIOGRAPHY OF BUFFALO BILL เขียนโดย COLONEL W.F. CODY) ตอนท้ายก่อนจบ ดังนี้

            “โดยสรุป ผมขอแสดงความหวังเอาไว้ว่า  รัฐบาลของเราจะจัดการเรื่องพวกอินเดียนแดงอย่างยุติธรรมและเป็นธรรม พวกเขาคือทายาทของแผ่นดินที่เราอยู่ พวกเขาไม่มีความสามารถในการพัฒนามัน หรือแม้แต่จะมองเห็นความเป็นไปได้ในการพัฒนา แต่พวกเขาก็เป็นเจ้าของมันเมื่อคนขาวเข้ามา  และพวกคนขาวก็แย่งเอาแผ่นดินนี้มาจากพวกเขา  มันเป็นธรรมชาติที่พวกเขาจะต้องต่อต้าน  มันเป็นธรรมชาติที่พวกเขาจะใช้ปัจจัยทางสงครามทุกชนิดที่พวกเขารู้จักเพื่อต่อสู้กับผู้ที่เข้ามาแย่งชิงดินแดนของเขาไป  สำหรับพวกเราทหารพราน มันเป็นธุรกิจ  ที่จะอยู่บนเส้นทางสงคราม เพื่อต่อสู้กับพวกเขาเมื่อพวกเขาได้ทำความเสียหายให้พวกเรา  แต่โดยทั่วไปแล้ว ไม่มีทหารพรานคนใดเกลียดพวกอินเดียนแดงจริงๆ” 

                และเขาวิจารณ์รัฐบาลเอาไว้ว่า

            “มีหลายครั้ง ที่นโยบายของรัฐบาลที่กระทำต่อพวกอินเดียนแดงเป็นไปอย่างไม่ฉลาดและไร้ความเป็นธรรม ผมเชื่อว่าวันเวลาเหล่านั้นได้ผ่านไปแล้วตลอดกาล  มีพวกอินเดียนอยู่อีกหลายพันคนในประเทศนี้ ส่วนใหญ่มุ่งมั่นอยู่กับการทำเกษตรกรรม  เลือดของพวกอินเดียน ได้เพิ่มความแข็งแกร่งอย่างมากให้แก่บุคลลิกของพวกเราชาวตะวันตก อย่างน้อย ก็มีวุฒิสมาชิกสองท่านที่มีสายเลือดอินเดียนแดง และท่านก็ภูมิใจในเรื่องนี้”

                บัฟฟาโล บิลล์ ใช้เงินส่วนตัวทำทุกวิถีทางที่จะพัฒนาตะวันตกให้เจริญ  เช่น พัฒนาระบบชลประทาน ลงทุนในบริษัทเหมืองแร่อริโซนา โรงแรมใน Sheridan  และ Cody ไวโอมิง,  พัฒนาพันธุ์สัตว์, ทำไร่ปศุสัตว์, บ่อถ่านหินและน้ำมัน, ตั้งบริษัทสร้างหนัง, สร้างเมือง, การท่องเที่ยว และสำนักพิมพ์ แม้กระทั่งก่อตั้งหนังสือพิมพ์ ชื่อ Cody Enterprise ซึ่งยังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน[3]

                เมืองที่บัฟฟาโล บิลล์ สร้างขึ้นอยู่ในรัฐในไวโอมิง ในพื้นที่ใกล้ๆ ที่ราบ Big Horn ที่นายพลคัสเตอร์ถูกฆ่า  เขาประกาศผ่านการแสดงไวล์เวสต์โชว์ ชักชวนให้คนอพยพไปตั้งเมืองที่นี่ ซึ่งเป็นแหล่งอพยพสุดท้ายของยุคตะวันตก จากนั้นเขาทำทุกอย่างดังกล่าวแล้วเพื่อพัฒนาเมืองนี้  และประกาศตั้งอย่างเป็นทางการในปี ๑๘๙๖ ในชื่อเมือง บัฟฟาโล บิลล์   ต่อมาเปลี่ยนชื่อตามนามสกุลของเขา คือเมือง โคดี้(Cody) ซึ่งปัจจุบันเป็นเมืองท่องเที่ยวแบบตะวันตกที่มีชื่อเสียงที่สุด และมีเทศกาลโรดิโอที่มีชื่อของโลก คือ “โคดี้แสตมผีดโรดิโอ(The Cody Stamede Rodeo)” ซึ่งจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ ๘๕ ใน พ.ศ. ๒๕๕๐  นอกจากนี้ยังมี งานแข่งขันโรดิโอกลางคืน(Cody Nite Rodeo) ทุกคืนระหว่างวันที่ ๑ มิถุนายน-๓๑ สิงหาคมของทุกปี ซึ่งจัดมา ๕๕ ปีแล้ว ทำให้เมืองนี้ได้รับการขนานนามว่า  “เมืองหลวงโรดิโอของโลก(Rodio Capital of the World)”[4]

 

Image:2006-07-28 - United States - Wyoming - Cody - Rodeo - Cowboy.jpgImage:Roping a calf at the Buffalo Bill Cody Stampede Rodeo.jpg 

การแข่งขันโรดิโอ ในเทศกาล The Cody Stampede Rodeo[5]

นี่คือประวัติย่อ ของยอดคาวบอยผู้มีความสามารถและชื่อเสียงที่ทุกคนยอมรับ ทั้งในชีวิตจริงและการแสดง การแสดงไวล์ดเวสต์โชว์ของบัฟฟาโล บิลล์ ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องถึง 30 ปี  ช่วงหนึ่ง เขาต้องเดินทางไปแสดงในยุโรป และอยู่ขุดทองจากการแสดงอย่างต่อเนื่องที่นั่นถึง ๑๐ ปี ในยุคนั้น เขาได้รับการยกย่องว่า เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก   ชีวประวัติที่เขาเขียนเอง 150 กว่าหน้า มีเผยแพร่อยู่ในเว็บไซต์หลายแห่ง เป็นประวัติของคนจริงที่ตื่นเต้นยิ่งกว่า “นวนิยาย” ดังๆ หลายเรื่อง

น่าเสียดายที่ หนังเรื่อง Buffalo Bill and The Indian ที่ผู้อำนวยการสร้างหนังหัวไม่ถึงรสนิยมคาวบอย ชื่อ Robert Altman สร้างให้กลายเป็นหนังตลก ซึ่งบดบังความกล้าหาญโดดเด่นของเขาอย่างสิ้นเชิง  ซึ่งผมเห็นว่า เป็นการทำลายภาพพจน์ในด้านดีของยอดวีรบุรุษตัวจริงคนนี้อย่างไม่น่าให้อภัย

 

 

 

 

 

 

 

๓.๒. แอนนี่ โอ๊กเลย์(Annie Oakley) คาวเกิร์ลแม่นปืนคนแรก

          แอนนี่ โอ็คเลย์ มีชื่อเดิมว่า โฟบี แอนน์ โมเซย์ (Annie Oakley-born Phoebe Ann Mosey August 13, 1860 – November 3, 1926))[6] เธอเป็นดาวเด่นสตรีคนเดียวของคณะบัฟฟาโล บิลล์ ไวล์ด เวสต์ โชว์ เป็นคาวเกิร์ลสาวน้อยที่ยิงปืนไรเฟิล .22 คาลิเบอร์ที่แม่นที่สุดในประวัติศาสตร์ ล่ำลือกันว่า ในระยะ 27 เมตร เธอสามารถยิงไพ่ทางด้านข้างขาดเป็น 2 ท่อน และสามารถยิงส่วนที่ขาดทั้งสองให้เป็นรูได้ ๕ ถึง ๖ รูก่อนที่ไพ่จะตกถึงพื้น[7]

                พ่อของเธอเคยเป็นทหารและเสียชีวิตเมื่อเธออายุได้แค่ ๖ ขวบ ด้วยความยากจนเธอถูกทิ้งให้อยู่ในการดูแลของหัวหน้าคนงานในไร่ที่ยากจนแห่งหนึ่ง ซึ่งสอนให้เธอรู้จักเย็บปักถักร้อย  เธอเคยรับจ้างหาเงินโดยการเป็นเด็กรับใช้ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งโหดร้ายมากใช้งานเธอเหมือนทาส เมื่อเธออายุได้ ๘ ขวบ เธอกลับไปอยู่กับครอบครัว ก็พบว่าแม่เธอแต่งงานใหม่เป็นครั้งที่ ๓  แล้ว

                เมื่ออายุได้แค่ ๙ ขวบ ความยากจนทำให้แอนนี่ ต้องออกล่าสัตว์และนำมาขายให้ชาวบ้านเพื่อหาเงินช่วยแม่ ฝีมือยิงปืนล่าสัตว์ของเธอยอดเยี่ยมจนสามารถหาเงินจ่ายค่าผ่อนบ้านให้แม่ได้ทั้งหมด เธอกลายเป็นที่รู้จักในแถบนั้นว่า แอนนี่  หญิงสาวที่ยิงปืนยาวได้แม่นเหมือนจับวาง

                ในฤดูใบไม้ผลิปี ๑๘๘๑ คณะแสดงยิงปืนแม่นเร่ร่อน โบแมน แอนด์ บัทเลอร์(Baughman and Butler) ได้ผ่านไปแสดงแถวเมืองซินซินเนติ(Cincinnati-เมืองเดียวที่รอย โรเจอร์เกิด)  นักแม่นปืนของคณะชื่อ ฟรานซิส อี.  บัทเลอร์ ได้ท้าทายเจ้าของโรงแรมในเมืองนั้นโดยพนันกันด้วยเงิน ๑๐๐ เหรียญว่า ไม่มีนักแม่นปืนคนใดในแถบนั้นสามารถเอาชนะเขาได้  ฟรานซิสขณะนั้นอายุ ๓๑ ปี

                เจ้าของโรงแรมรับท้าพนัน โดยบอกว่าจะจัดให้แข่งกับ แอนนี่ (ขณะนั้นอายุ ๒๑) ภายใน ๑๐ วัน การแข่งขันจัดที่เมืองกรีนวิลเล โอไฮโอ(Greenville, Ohio) ผลปรากฏว่า ฟรานซิส ยิงพลาดในนัดที่ ๒๕ และแพ้พนัน (ปกติจะแข่งกันยิงเป้านิ่งด้วยกระสุน ๑๐๐  นัด)

                หลังพ่ายแพ้ ฟรานซิส พยามจีบแอนนี่ด้วยความหลงใหล และทั้งสองแต่งงานกันในอีก ๑ ปีถัดมา จากนั้นแอนนี่ก็ติดตามเป็นผู้ช่วยในการแสดงการยิงปืนแม่นของสามีไปหลายแห่ง  แต่ในภายหลัง ฟรานซิส เห็นว่าเธอมีฝีมือเหนือกว่า เขาจึงให้เธอแสดงแทน และเขายอมตัวเป็นผู้ช่วยเธอไปตลอดชีวิต

Image:Miss-Annie-Oakley-peerless-wing-shot.jpg

ภาพโปสเตอรโฆษณาการแสดงของ แอนนี่ โอ๊กเลย์ และภาพตัวจริง (จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Annie_Oakley)

                ในปี ๑๘๘๕ ทั้งสองก็เข้าร่วมการแสดงในคณะของบัฟฟาโล บิลล์ เนื่องจากแอนนี่ตัวเล็ก สูงแค่ ๑๕๒ เซ็นติเมตร์ เธอได้รับชื่อเล่นภาษาอินเดียนแดงจากหัวหน้าเผ่า ซิตติ้ง บูลล์  ที่กลายมาเป็นนักแสดงอยู่ด้วยว่า “วาทันยา ซิซิลลา(Watanya Cicilla)” ซึ่งแปลว่า “ตัวเล็กยิงแม่น(Little Sure Shot)” และถูกใช้เป็นชื่อโฆษณาของเธอต่อมา

                ในช่วงที่บัฟฟาโล บิลล์ พาคณะแสดงไปท่องยุโรป แอนนี่ ได้แสดงต่อหน้าพระพักตร์ ควีน วิคตอเรีย แห่งอังกฤษ รวมทั้งพระราชวงศ์ระดับสูงจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือเจ้าชายแห่งปรัสเซีย(Pring of Prussia) ไกเซอร์ วิลเฮล์ม ที่ ๒ (Kaiser Wilhelm II) ซึ่งเป็นผู้ถือบุหรี่ให้เธอยิง เธอสามารถยิงขี้เถ้าบุหรี่หลุดออกได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยบุหรี่ในมือเจ้าชายไม่เสียหาย  ภายหลังเมื่อเกิดเหตุการณ์ปลงพระชนม์เจ้าชายปรัสเซียองค์นี้ จนเป็นเหตุให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑  มีคนกล่าวว่า ถ้าแอนนี่เปลี่ยนจากยิงขี้เถ้าบุหรี่เป็นปลงพระชนม์เจ้าชายแทน เธอจะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดสงครามโลกได้[8]

 

ภาพใบหน้าชัดๆ ของ แอนนี่ โอ๊คเลย์ และภาพถ่ายร่วมกับคณะของบัฟฟาโล บิลล์ ในปี ๑๘๘๙ เธอคือคนนั่งที่ ๒ จากขวามือของภาพ (จาก http://www.bbhc.org/bbm/biographyBB.cfm)

                ในช่วงเกิดสงครามกับพวกสเปนในอเมริกา เธอเขียนจดหมายลงวันที่ ๕ เมษายน ๑๘๙๘ ถึงประธานาธิบดีแม็คคินลีย์ (William McKinley) เสนอตัวเป็นทหารอาสาออกรบ โดยจะเป็นผู้นำนักแม่นปืนหญิงจำนวน ๕๐ คนที่เธอฝึกขึ้น  ประธานาธิบดีปฎิเสธ แต่ ธีโอดอร์ รูสเวลท์ (Theodore Roosevelt)ซึ่งได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อมา รับข้อเสนอ และตั้งกลุ่มของเธอเป็นกองทหารม้าหญิงชื่อ “Rough Riders” ตามชื่อการแสดงของคณะบัฟฟาโล บิลล์ ซึ่งมีชื่อเต็มว่า “Buffalo Bill’s Wild West and Congress of Rough Riders of the World”

                ในปี ๑๙๐๑ ปีเดียวกับที่ประธานาธิบดีแม็คคินลีย์ถูกลอบยิงจนบาดเจ็บสาหัส แอนนี่ก็ได้รับอุบัติเหตุ ทำให้เธอต้องออกจากการแสดงกับบัฟฟาโลบิลล์ ตอนหลังเธอฟื้นจากการบาดเจ็บได้อย่างสมบูรณ์ และเริ่มอาชีพการแสดงบนเวทีส่วนตัวอย่างเงียบๆ ด้วยบทที่เขียนสำหรับเธอโดยเฉพาะในชื่อว่า “สาวตะวันตก(The Western Girl”

                เป็นที่น่าพิศวงว่า ฝีมือยิงปืนของแอนนี่พัฒนาต่อเนื่องไม่หยุดจนถึงอายุกว่า ๖๐ ปี ในปี ๑๙๒๒ มีการแข่งขันยิงปืนที่เมือง Pinehurst รัฐ North Carolina แอนนี่ซึ่งอายุ ๖๐ ปีแล้ว สามารถยิงถูกเป้าดินเผา ๑๐๐ อันโดยไม่พลาดเลย จากระยะการยิง ๑๖ หลา ในปลายปีนั้น ทั้งแอนนี่และสามีได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างรุนแรง ทำให้เธอต้องใส่เหล็กรัดขาขวาไว้ตลอด แต่หลังจากนั้นอีกปีครึ่ง เธอก็ทำสถิติยิงปืนใหม่ได้อีกในปี ๑๙๒๔

                แอนนี่เป็นนักต่อสู้เพื่อสตรีตัวยง เช่น เรียกร้องให้จ่ายค่าจ้างสตรีโดยยุติธรรม(เช่นเดียวกับบัฟฟาโล บิลล์) ต่อสู้เพื่อสิทธิของสตรีที่จะพกปืนและใช้ปืน ทั้งเพื่อการกีฬาและป้องกันตัว เธอช่วยเด็กหญิงกำพร้า แม่หม้าย และเด็กสาวที่ต้องการศึกษาต่อจำนวนมาก เธอให้ทุนการศึกษาแก่เด็กสาวให้ได้เรียนถึงระดับวิทยาลัยและอาชีวศึกษาอย่างน้อย ๒๐ คน ฝึกสอนผู้หญิงเกี่ยวกับการยิงปืนและความปลอดภัยในการใช้ปืนกว่า ๒,๐๐๐ คน[9] ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ เธอเดินทางไปฝั่งตะวันออกด้วยค่าใช้จ่ายส่วนตัว เพื่อสาธิตการใช้ปืนอย่างปลอดภัยและได้ผลให้แก่พวกทหารที่จะเข้าสงคราม

                ในปี ๑๙๒๕ เมื่ออายุได้ ๖๖ ปี แอนนี่เสียชีวิตด้วยโรคโลหิตจางอย่างร้ายแรง(pernicious anemia) ฟรานซิส บัทเลอร์ สามีของเธอเสียใจอย่างสาหัส เขาไม่ยอมกินอาหาร และเสียชีวิตหลังจากเธอเพียง ๑๘ วัน

๓.๓ ซิงกิ้งคาวบอย(Singing Cowboy)

ดาราคาวบอยที่โด่งดังยุคหลังบัฟฟาโล บิลล์ และมีอิทธิพลต่อค่านิยมคาวบอยของคนอเมริกันมากสุด ได้แก่  ยีน ออทรี (Gene Autry) และ รอย โรเจอร์ส( Roy Rogers) ซึ่งเป็นทั้งนักร้อง นักแสดง  และเชี่ยวชาญการแสดงบนหลังม้า ในวงการเรียกพวกเขาว่า   ซิงกิ้งคาวบอย(Singing Cowboy) แปลว่าคาวบอยนักร้อง

                จุดเด่นของซิงกิ้งคาวบอยก็คือ ดาราต้องเก่งทั้งการพูดเล่าเรื่อง เล่นกีต้าร์ ร้องเพลง ขี่ม้าผาดโผน และการแสดงบทบู๊ บทรัก หนังที่แสดงโดยดาราพวกนี้จะมีฉากร้องเพลงสอดแทรกด้วยเสมอ เครื่องแต่งกายของคนและม้าถูกออกแบบมีลวดลายประดับอย่างหรูหราเกินเหตุ มุ่งให้เตะตาคนดูเป็นหลักโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องทางประวัติศาสตร์แต่อย่างใด ดูแล้วเหมือนนักร้องลูกทุ่งหรือลิเกบ้านเรา แต่ละคนใช้ชื่อตนเองในหนังทุกเรื่อง  แต่ละเรื่องเป็นการผจญภัยของพวกเขาในสถานที่ต่างๆ แถบชายแดนตะวันตก ซึ่งในยุคนั้น ถือได้ว่าเป็นวีรบุรุษสุดยอดโรแมนติกในฝันของหนุ่มสาวลูกทุ่งแทบทุกคน  ดาราหนังประเภทนี้มีหลายคน แต่ไม่มีใครโด่งดังเท่าสองคนที่กล่าวนี้  ประวัติย่อๆ ของทั้งสองคน มีดังนี้

๓.๓.๑. ยีน ออทรี(Gene Autry) ดาราคาวบอยและวีรบุรุษ

            ยีน ออทรี มีชื่อเดิมว่า ออร์วอน ยีน ออทรี (Orvon Gene Autry -September 29, 1907 – October 2, 1998)[10],[11] เขาคือนักร้องคาวบอย (Singing Cowboy) คนแรกของโลก เกิดปีเดียวกับจอห์น เวย์น ที่เมืองไทโอกา(Tioga) รัฐเท็กซัสเขาเล่าประวัติตนเองว่า เริ่มขี่ม้าในวัยเดียวกับที่เขาเริ่มเดินได้ พออายุได้ ๑๕ ครอบครัวก็ย้ายไปอยู่โอกลาโฮมา หลังจบมัธยม เขามีอาชีพเป็นพนักงานส่งโทรเลข เริ่มมีชื่อจากการร้องเพลงโห่ลูกทุ่งมาตั้งแต่ปี ๑๙๒๙ (พ.ศ.๒๔๗๒) โดยได้ฉายาว่า “คาวบอยโห่แห่งโอกลาโฮมา(Oklahoma’s Yodeling Cowboy)”  แสดงหนังคาวบอยในปี ๑๙๓๔ จนถึงปี ๑๙๕๓ รวม ๙๓ เรื่อง ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้สร้างสไตล์เพลงตะวันตกเป็นคนแรกจากหนังเรื่อง“Tumbling Tumbleweeds(1935)” เขาร้องเพลงบันทึกเสียงไว้ประมาณ ๖๔๐ เพลง ในจำนวนนี้เขาแต่งเองและร่วมแต่ง รวม ๓๐๐ เพลง

ภาพโฆษณาม้าชื่อ        แชมเปี้ยน ของยีน ออทรี “ม้ามหัศจรรย์แห่งตะวันตก” จาก www.geneautry.com

 

                ในที่นี้ได้นำรูปที่ capture จากจอภาพของหนังที่ ออทรี แสดง ๒ เรื่องคือ The Strawberry Roan(1948) และ The Big Sombrero(1949) ซึ่งเป็นหนังสีเพียง ๒ เรื่องของเขา เพื่อให้เห็นบรรยากาศของหนังประเภทซิงกิ้งคาวบอยต้นฉบับว่าเป็นอย่างไร

ภาพซิงกิ้งคาวบอยบางตอนของหนังเรื่อง Strawberry Roan และ The Big Sombrero

 

ภาพจากหนังเรื่อง The Big Sombrero เป็นตัวอย่างของหนังที่แสดงโดย ยีน ออทรี ต้นฉบับซิงกิ้งคาวบอยคนแรกของอเมริกาที่ถูกลอกเลียนสืบต่อกันไป ในหนังพวกนี้ พระเอกต้องเก่งทุกอย่าง เช่น ร้องเพลง ยิงปืน ชกต่อย ขี่ม้า ในรูปนี้จะเห็นการโชว์เท็คนิคขี่ม้าเร่งรีบ ที่พระเอกวิ่งเข้าหาม้าทางด้านหลังและกระโดดลอยตัวขึ้นนั่งบนอาน ซึ่ง รอย โรเจอร์ ก็ลอกเลียนวิธีนี้ไปใช้จนเชี่ยวชาญเหมือนกัน

 

                การแสดงสดและหนังคาวบอยสมัยนั้น พระเอกจะมีคู่หูที่เป็นตัวตลกนิดๆ คอยเสริมบทและบุคลิกของตนเองให้เด่นขึ้น เขาเรียกคู่หูนี้ว่า ไซด์คิก(sidekick) ยีนมีไซด์คิกชื่อ แพต บัตแทรม(Pat Buttram) และม้าคู่ใจชื่อ แชมเปี้ยน(Champion) ซึ่งทั้งคนและม้าต่างก็ทำงานร่วมกันจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต นับเป็นคู่หูคู่ใจที่หาได้ยากจริงๆ

ช่วงปี ๑๙๔๐-๑๙๕๖ เป็น ๑๖ ปีของ ยีน ออทรี ที่โด่งดังมากจากการดำเนินรายการวิทยุให้สถานี CBS ชื่อ เมโลดี้แรนซ์โชว์(Melody Ranch Show) รูปแบบรายการคือ ยีนร้องเพลงสด สลับคุยตลกคู่กับแพต บัตแทรม และเล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตคนยุคตะวันตกโดยทำเป็นละครวิทยุสั้นๆ สลับร้องเพลง  ซึ่งเป็นการโชว์ความสามารถในทุกด้านของผู้จัดรายการ โดยเฉพาะการเป็นนักพูด นักเล่าเรื่อง เหมือนกับนักจัดรายการ Talk Show ในยุคนี้  ปัจจุบันนี้ใน DVD หนังของเขาที่จัดจำหน่ายโดย Gene Autry Entertainment ทุกแผ่น จะแถมบันทึกเสียงของรายการเมโลดี้แรนซ์โชว์หนึ่งตอนด้วย

                ในปี ค.ศ. ๑๙๔๐ ยีนได้รับเชิญไปร่วมปรากฎตัวในงานโรดิโอที่ยิ่งใหญ่ชื่อ Flying "A" Ranch Rodeo ในนิวยอร์ค เขาขี่ม้าเพศผู้แสนรู้ของเขาคือ แชมเปี้ยน กระโดดลอดห่วงไฟโชว์ และได้รับการต้อนรับอย่างท่วมท้น ยอดคนเข้างานพุ่งสูงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน  ต่อมาเขาจึงลงทุนซื้อที่ดิน จัดการแสดง Flying “A” Ranch Rodeo Show ของตัวเอง และผูกพันกับงานโรดิโออย่างยาวนาน ถึงขั้นตั้งฟาร์มเลี้ยงม้าและวัว ที่โคโลราโดและอาริโซนา

                ออทรีซื้อโมโนแกรมสติวดิโอ(Monogram Studio)ในปี ๑๙๕๒  และตั้งชื่อใหม่ว่า เมโลดีแรนซ์ (Melody Ranch) ใช้เป็นสถานที่ผลิตหนัง รายการทางวิทยุและทีวีสำหรับออกอากาศในช่วงเสาร์อาทิตย์ทุกสัปดาห์ มีหนังประเภท B-Western ประมาณ ๗๕๐ เรื่องถ่ายทำที่นี่ก่อนตกเป็นของยีน หลังจากเป็นของยีนแล้ว หนังคาวบอยดังๆ ที่แสดงโดยดาราคาวบอยผู้เป็นตำนานแห่งยุค เช่น จอห์น เวย์น, แกรี่ คูเปอร์, รอย โรเจอร์ส, วิลเลียม เอส อาร์ท, ทอม มิกซ์ ก็ได้เช่าใช้สถานที่แห่งนี้  น่าเสียดายที่ในปี ๑๙๖๒ เกิดไฟไหม้เสียหายเกือบหมด ยีนใช้ส่วนที่เหลือเป็นที่เลี้ยง แชมเปี้ยน ม้าคู่ใจจนมันสิ้นชีวิตในปี ๑๙๙๐  จากนั้นเขาจึงขายต่อให้แก่พี่น้องตระกูลเวลูแซต(Veluzat)[12] ซึ่งซื้อไปบูรณะเป็นเมืองคาวบอยให้เช่าถ่ายหนังพร้อมอุปกรณ์ครบทุกอย่างจนถึงทุกวันนี้     

                จากผลงานทั้งทางวิทยุ ทีวี และหนังฉายโรงประเภท B-western เขาจึงเป็นดาราขวัญใจยอดนิยมของคนอเมริกัน ตั้งแต่พวกเด็กๆ จนถึงผู้ใหญ่และคนแก่ที่เคยมีชีวิตในยุคตะวันตกรุ่งเรืองมาก่อน

                ไม่ใช่แค่เป็นวีรบุรุษบนจอเท่านั้น ยีน ออทรี ยังเป็นวีรบุรุษจากสงครามโลกอีกด้วย ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างปี ๑๙๔๒-๔๖ (ช่วงนี้เองที่ทางผู้ผลิตภาพยนตร์และรายการวิทยุนำ รอย โรเจอร์ส มาแสดงแทนเขาเต็มตัว) เขาสมัครเป็นทหารอากาศ และได้เป็นนักบินขับเครื่องบิน C-47 Skytrain เขาบินขนกระสุนและระเบิด ผ่านน่านฟ้า จีน-อินเดีย-พม่า โดยบินผ่านช่องเขาหิมาลัยระหว่างพม่ากับจีนที่อันตรายที่สุดที่เรียกว่าฮั๊มพ์ (Hump)  

                ช่วงปลายสงครามยีน ออทรี เข้าสังกัดในหน่วยปฏิบัติการพิเศษ บำรุงขวัญทหารแถวมหาสมุทรแปซิฟิก และปลดประจำการกลับเข้าสู่อาชีพนักแสดงในปี ๑๙๔๖ 

                ยีน ออทรี ได้รับเหรียญเกียรติยศ ๓ เหรียญจากภารกิจในสงคราม คือ American Campaign Medal, Asiatic-Pacific Campaign Medal, และ World War II Victory Medal

                การสมัครเป็นทหารออกรบในสงครามโลก ทั้งๆ ที่อาชีพการแสดงกำลังรุ่งเรืองสุดขีด ดูเหมือนต้องการตอกย้ำคุณสมบัติของคาวบอยข้อที่ ๑๐ ที่เขาเขียนไว้ คือ “คาวบอยต้องรักชาติ” ซึ่งตรงข้ามกับ จอห์น เวย์น ดาราคาวบอยอีกคนที่ได้ฉายาว่า เป็นสัญลักษณ์ของคนอเมริกัน ที่ไม่กล้าผิดสัญญาการแสดงหนัง ทำให้ไม่ได้สมัครเป็นทหารออกรบช่วงสงคราม ซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่เป็นลูกผู้ชายใจคาวบอยตามที่ได้รับยกย่องเท่า ยีน และมีรายงานว่าเขาเสียใจเรื่องนี้ไปตลอดชีวิต

                ยีน ออทรี มีสัมผัสทางธุรกิจดีมาก สามารถเป็นเจ้าของสถานีวิทยุและโทรทัศน์ที่ได้รับรางวัลถึงสองแห่งคือ KMPC และ KTLA เป็นเจ้าของทีมเบสบอลล์ American League California Angels ในปี 1961 ซึ่งเป็นทีมที่มีชื่อเสียงมาก คนอเมริกันยุคหลังรู้จักเขาจากทีมเบสบอลล์มากกว่านักแสดงคาวบอยเสียอีก เขาอยู่ในตำแหน่งรองประธานสมาคมอเมริกันเบสบอลล์จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต   ในปี ๑๙๘๑ เขาขายสถานีโทรทัศน์ KTLA เป็นเงินถึง ๒๔๕ ล้านดอลลาร์ ในปี ๑๙๙๕ เขาติดอันดับ ๔๐๐ คนอเมริกันที่รวยที่สุด ของแมกกาซีนฟอร์เบส มีทรัพย์สินรวม ๓๕๐ ล้านดอลลาร์

ชื่อ

สาขา

ที่อยู่ของดาว

Gene Autry

 

Motion pictures

6644 Hollywood Blvd.

Radio

6520 Hollywood Blvd.

Recording

6384 Hollywood Blvd.

Television

6667 Hollywood Blvd.

Live theatre

7000 Hollywood Blvd.

ภาพดาวดวงหนึ่งของ ยีน ออทรี จาก http://www.710kmpc.com/

               

                ในปี ๑๙๘๘ ยีน ออทรี สร้าง พิพิธภัณฑ์มรดกตะวันตกยีน ออทรี (Gene Autry Western Heritage Museum) และกลายเป็น ศูนย์แห่งชาติออทรี (Autry National Center) ที่ให้การศึกษาด้านวัฒนธรรมตะวันตกที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน

                เพลงที่โด่งดังมากที่ยีนสร้างชื่อเสียงขึ้นมา และยังมีการนำมาร้องทุกวันนี้ได้แก่  Ghost Riders in The Sky ซึ่งเขาสร้างเป็นหนังด้วย และอีกเพลงคือ Back  In The Saddle Again ยีน เป็นดาราคนเดียวในโลก ที่ได้รับเกียรติสูงสุด ๕ ดาวใน ๕ สาขาการแสดงที่ได้รับการประทับดาวไว้บนถนนฮอลลีวูด (Hollywood Walk of Fame) คือ สาขาวิทยุ,  การอัดแผ่นเสียง. ภาพยนตร์. ทีวี และ การแสดงสดบนเวที ซึ่งมีที่อยู่ของดาวตามตารางที่แสดงไว้ในรูปประกอบ

              ยีน ออทรี คือผู้บัญญัติกฎปฏิบัติสำหรับผู้อยากเป็นคาวบอย 10 ข้อขึ้นมาเป็นคนแรก  และเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกในชื่อ บทบัญญัติคาวบอย  “Cowboy Code” หรือ “Cowboy Commandments” ซึ่งได้กล่าวไว้ในบทที่ 1  นอกจากนี้ เมืองเล็กๆ ใกล้ๆ ที่เขา

เกิดได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็น “ยีน ออทรี” เพื่อให้เกียรติแก่เขา ซึ่งเขาเคยกล่าวถึงเรื่องนี้อย่างผู้มีความรู้สึกทางการเมืองนิดๆ ว่า “เราโชคดีที่อยู่ในประเทศที่เขาเปลี่ยนแผนที่(ชื่อเมือง)เพื่อให้เกียรติคาวบอย  แทนที่จะสนองความตระกะของเผด็จการ”

                ยีน ออทรี แต่งงานกับ May Spivey ในปี ๑๙๓๒ เมื่อเธอเสียชีวิตในปี ๑๙๘๐ เขาแต่งงานอีกครั้งกับ แจ็คกี้ ออทรี ในปี ๑๙๘๑ และอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต แต่ไม่มีลูกกับภรรยาทั้งสอง ยีนหวลกลับสู่รายการทีวีอีกครั้งในปี ๑๙๘๗(๒๕๓๐) ภายใต้ชื่อ เมโลดี้แรนซ์เธียเตอร์(Melody Ranch Theater) ร่วมกับ แพต บัตแทรม(Pat Buttram) sidekick ซึ่งเคยร่วมแสดงหนังด้วยกันมาตั้งแต่สมัยหนุ่ม ในรายการเป็นการเล่าเรื่องราวแต่หนหลัง และฉายหนัง B-western ที่เคยแสดงด้วยกันเป็นตอนๆ รายการดำเนินไปถึง ๙๑ ตอน มีแขกที่มีชื่อเสียงได้รับเชิญมาปรากฏตัวจำนวนมาก ซึ่ง รอย โรเจอร์ส กับเดล อีแวน ก็ได้รับเชิญด้วยในปีแรกของรายการ รายการนี้มีแถมใน DVD หนังของเขาด้วย

 

๓.๓.๒. รอย โรเจอร์ส ราชาคาวบอย(Roy Rogers, King of the Cowboys)

                รอย โรเจอร์ส[13],[14] ไม่ได้เกิดมามีชีวิตในฟาร์มแต่เด็กเหมือน ยีน ออทรี เขาเกิดวันที่ ๕  พฤศจิกายน. ค.ศ.๑๙๑๑ ในเมืองซินซินนาติ รัฐโอไฮโอ(Cincinnati, Ohio) ในชื่อ ลีโอนาร์ด แฟรงกลิ้น สไล (Leonard Franklin Slye November 5, 1911 – July 6, 1998)  พ่อของรอยมีสายเลือดอินเดียนแดงเผ่าเชโรกี ร้อยเปอร์เซ็นต์ ครอบครัวยากจน เขาต้องออกจากโรงเรียนมาช่วยพ่อทำงานทุกชนิดที่พอเลี้ยงชีพได้ ตั้งแต่เป็นคนเก็บผลไม้ในไร่ กรรมกรในโรงงาน

                รอย เริ่มชีวิตการแสดงโดยการเป็นนักร้องเพลงโห่ลูกทุ่งเช่นกัน และตั้งวงดนตรีของตนเองตั้งแต่อายุ 18 ร่วมกับลูกพี่ลูกน้องชื่อ สแตนเลย์ โดยรับจ้างร้องเพลงตามงานเต้นรำและโรงละครท้องถิ่น แต่ไปได้ไม่ดีนัก  ระยะหลังรอยจึงดิ้นรนเข้าไปแสวงโชคในรัฐคาลิฟอร์เนีย

                จนถึงปี 1934 รอยจึงเริ่มมีชื่อเสียง โดยร่วมกับนักร้องคาวบอย ที่มาดังร่วมกันตอนหลังอีกสองคน คือ บ๊อบ โนแลน และ ทิม สเปนเซอร์ เขาตั้งวงคาวบอยครั้งแรกชื่อ O-Bar-O Cowboys ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ไพโอเนียส์ เมื่อได้รับโอกาสแสดงทางวิทยุครั้งแรก ผู้ประกาศไม่เคยได้ยินชื่อวง จำผิด ประกาศเป็น Sons of the Pioneers เพราะเห็นเป็นพวกเด็กๆ  แต่ปรากฏว่า การแสดงครั้งนั้น รอย ได้เตรียมเพลงและซ้อมวงมาอย่างดี จึงทำให้ผู้ฟังชื่นชอบกันมาก เลยทำให้ได้เกิดในวงการเพลงในชื่อที่ประกาศตั้งแต่วันนั้น เพลงที่สร้างชื่อให้แก่วงของเขามากในยุคนั้น คือเพลง “Cool Water” และ “Tumble Tubleweeds” ซึ่งทุกวันนี้ถือว่าเป็นจำนวนหนึ่งในเพลงคาวบอยอมตะแห่งยุค

                รอย โรเจอร์ เริ่มแสดงหนังกับบริษัท รีพับบลิค สติวดิโอ(Republic Studio) ครั้งแรกในปี 1935 แต่เป็นแค่ตัวประกอบร่วมกับวงดนตรีของเขา เนื่องจากยุคนั้น ยีน ออทรี คือดาราใหญ่ที่ดังมาก่อนในประเภทซิงกิ้งคาวบอย  ต่อมาบริษัทเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับสัญญาแสดงหนังกับ ยีน ออทรี จึงซุ่มหนุนบท รอย ให้เด่นขึ้นมาทีละน้อย โดยหวังจะให้เป็นผู้มาแทน ยีน ในอนาคต จนในปี ๑๙๓๘ เขาจึงได้แสดงหนังเป็นตัวเองแทน ยีน ออทรี เต็มตัวในเรื่อง Under Western Stars ซึ่งได้รับความสำเร็จอย่างล้นหลาม ชื่อเสียงของเขาจึงดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงช่วงปี  ๑๙๔๒ เมื่อ ยีน ออทรี สมัครเข้าเป็นทหารออกรบในสงครามโลกครั้งที่ ๒  รอยจึงผงาดเป็นดาราอันดับหนึ่งของประเทศได้ และได้รับฉายาว่า “ราชาแห่งคาวบอย(King of the Cowboys)” ตามชื่อหนังเรื่องหนึ่ง

ภาพขี่ม้ายกสองขาที่เป็นเอกลักษณ์ของรอย โรเจอร์ส และวงดนตรี Sons of The Pioneers

 

 

 

ไตเติ้ลหนังที่ประกาศดาราแสดงนำคู่คนกับม้า ของ รอย โรเจอร์ส กับ ทริกเกอร์ ม้าฉลาดที่สุดในภาพยนตร์ ลักษณะฉากร้องเพลง การแต่งตัว แต่งม้า และการกระโดดขึ้นม้าจากด้านหลังที่คล้ายคลึงกับหนังของ ยีน ออทรี ที่เคยทำมาก่อน

                ในปี ๑๙๔๔ รอยเริ่มแสดงหนังกับดาราสาวสไตล์ตะวันตกผู้โด่งดังคนหนึ่ง ชื่อ เดล อีแวน(Dale Evan) ในเรื่อง The Yellow Rose of Texas ซึ่งกลายเป็นคู่ขวัญบนจอเงินต่อมาจนตลอดชีวิตการแสดงของเขา เดล อีแวน ได้รับฉายาว่า “ราชินีแห่งคาวเกิร์ล (Queen of the Cowgirls)”

                 ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๔๖ ภรรยาของรอยเสียชีวิต จากการคลอดลูกชายคนเดียวของเขา อีก ๑ ปีต่อมา รอยก็ตัดสินใจแต่งงานกับ เดล อีแวน (เป็นการแต่งงานครั้งที่ 4 ของเธอ) และอยู่ร่วมกันจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ทั้งสองมักแสดงหนังคู่กันเสมอ และได้รับความนิยมสูงมากจนเกินหน้า ยีน ออทรี ทั้งเรื่องเพลงและการแสดง    

                สองสามีภรรยาเป็นเจ้าของรายการทีวีของตนเองชื่อ “รอย โรเจอร์ส โชว์” ซึ่งออกอากาศทางสถานี CBS จากปี ๑๙๕๑ จนถึง ๑๙๖๔  และเป็นรายการที่ เดล อีแวน แต่งเพลงอมตะอีกเพลงหนึ่งคือ Happy Trails เพื่อใช้เป็นเพลงอำลาตอนจบของรายการทีวีแต่ละตอน

                ดูเหมือนเป็นสูตรสำเร็จของดาราดังสไตล์ตะวันตกในยุคนั้น ที่แต่ละคนจะต้องมีดาราแสดงคู่หูที่เรียกว่า sidekick ซึ่งจะคอยเป็นตัวตลกงี่เง่า เพื่อเสริมบุคลิกของตัวเอกให้เด่นขึ้น  รอยมี sidekick สองคนชื่อ Pat Brady และ Gabby Hayes นอกจากนี้ ยังมีม้าแสนรู้ของเขาที่ชื่อ ทริกเกอร์(Trigger) และสุนัขแสนรู้ชื่อ บุลเลตต์(Bullet) ช่วยเสริมอีกทางหนึ่ง ม้าและคนมีชื่อเกือบจะพอๆ กัน ปัจจุบัน ซากของ ทริกเกอร์ ยังถูกสตั๊ฟในรูปทรงเหมือนเดิมที่สุด ในท่ากำลังยกขาหน้าผงาดอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่มีคนชมปีละกว่า  ๒ แสนคนของเขา

                เพลงคาวบอยที่มีชื่อเสียงของรอย ได้แก่ Happy Trails ดังกล่าวแล้ว และเพลงที่เขาร่วมร้องในวง Sons of The Pioneers ชื่อ Tumbling Tumbleweeds, Cool Water สำหรับผู้เขียน ชอบเพลง Cowboy Night Herd Song มากที่สุด  ในปี ๑๙๖๕ สองสามีภรรยาได้ตั้งพิพิธภัณฑ์ Roy Rogers and Dale Evans Museum ขึ้นนในวิเตอร์วิลเล คาลิฟอร์เนีย ซึ่งปัจจุบันถูกย้ายไปอยู่มิสซูรี ทั้งสองคนได้ชื่อว่ามีความเมตตาสูง ได้รับเด็กยากจนเป็นลูกบุญธรรมถึง ๔ คน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กเกาหลี แต่ชีวิตครอบครัวก็มีเรื่องเศร้า เมื่อลูกที่เกิดจากเดล คนหนึ่งเสียฃีวิตด้วยโรคหัวใจเมื่ออายุได้แค่ 2 ขวบ เด็กที่รับมาเลี้ยงสองคนเสียชีวิตเมื่อโตเป็นหนุ่มสาวจากอุบัติเหตุรถเมล์คนหนึ่ง อีกคนหัวใจวายตายขณะรับราชการทหารในยุโรป

                รอยได้รับเกียรติบน Hollywood Walk of Fame เพียง 4 ดาวคือ สาขา วิทยุ เพลง ภาพยนตร์ และทีวี

 Roy Rogers' horse Trigger, The Smartest Horse In The Movies

 

 

 

 

 

๓.๔. จอห์น เวย์น (John Wayne)

                จอห์น เวย์น เป็นดาราหนังคาวบอยที่ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ในแบบ Singing Cowboy และไม่ได้ขี่ม้าแสดงเป็นอาชีพเหมือนพวก Singing Cowboy ชื่อเดิมเขาคือ มาริอัน โรเบิร์ต มอร์ริสัน (Marion Robert Morrison-May 26, 1907-June 11, 1979)[15] พ่อเป็นเภสัชกรทำงานในร้านขายยา ตอนเด็กเขาถูกคนแถวบ้านเรียกว่า “Little Duke” เพราะชอบเดินกับหมาชื่อ ดุ๊ก ซึ่งกลายเป็นชื่อเล่นของเขาไปตลอดชีวิต

                ในวัยเด็กเขาเป็นนักฟุตบอลมีชื่อของโรงเรียน เมื่อจบมัธยมเขาสมัครเข้าเรียนโรงเรียนนายเรือ แต่ไม่ได้รับเลือก เขาจึงเข้าเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยเซ้าเทิร์นคาลิฟอร์เนีย (University of Southern California) โดยได้ทุนนักกีฬาฟุตบอลล์ของมหาวิทยาลัย

Text Box:   
จอห์น เวย์น วัยเยาว์ในหนังเรื่อง The Big Trail (1930) และภาพจากโปสเตอร์หนังระยะหลัง

                ต่อมาเขาได้รับบาดเจ็บจากการเล่นฟุตบอลล์จนไม่สามารถแข่งต่อไปได้ เขาจึงถูกตัดทุนและต้องออกจากมหาวิทยาลัย  จอห์นเข้าทำงานเป็นเด็กดูแลอุปกรณ์กองถ่ายหนัง(prop man) ของบริษัท Fox Film Corporation โดยได้ค่าจ้างสัปดาห์ละ ๗๕ ดอลลาร์  เขารู้จักผู้อำนวยการสร้างหนังที่มีชื่อเสียงคือ จอห์น ฟอรฺ์ด(John Ford) เป็นอย่างดี  และช่วยแสดงประกอบเป็นครั้งคราวโดยไม่ได้เงินตั้งแต่ปี ๑๙๒๘  

                ในปี ค.ศ. ๑๙๓๐ จอห์น เวย์น ได้แสดงหนังเป็นพระเอกจริงๆ ในหนังคาวบอยจอกว้างมีเสียงเรื่องแรกของโลกชื่อ เส้นทางที่ยิ่งใหญ่(The Big Trail) แม้หนังไม่ทำเงินมากนัก แต่ทำให้เขาเริ่มต้นเป็นดาราจริงๆ และได้รับค่าจ้างเพิ่มเป็นสัปดาห์ละ ๑๐๕ ดอลลาร์

                จอห์น เวย์น รับแสดงหนังตะวันตกต่อมาอีกหลายเรื่อง ซึ่งสร้างโดยบริษัท Monogram Pictures และในยุค B-western เขาสังกัดบริษัท Republic Studios ซึ่งจ้าง ยีน ออทรี ด้วยเช่นกัน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เขาถูกบริษัทขู่จะฟ้องผิดสัญญาถ้าเขาสมัครเป็นทหารเช่นเดียวกับ ยีน ออทรี ทำให้ จอห์น เวย์น ในชีวิตจริงไม่เคยออกรบในสงครามและเป็นความเจ็บปวดที่เขาลืมไม่ลงไปตลอดชีวิต

Text Box:  
Trevor และ จอห์น เวย์น ในหนังเรื่อง 
Stagecoach (1939)
 

               

 

                อย่างไรก็ดี ในปี ๑๙๔๓-๔๔ จอห์นได้ร่วมแสดงปลอบขวัญทหารใน South Pacific theater และตามโรงพยาบาลระหว่างสงครามรวมเป็นเวลา ๓ เดือน นอกจากนี้ยังทำงานลับบางอย่างให้แก่หน่วย OSS(Office of Strategic Services)ด้วย หน่วยงานนี้คือหน่วยปฏิบัติการลับระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งพัฒนามาเป็นหน่วยงานซีไอเอในปัจจุบัน  ในช่วงต่อมาเขาสนใจการเมืองและเป็นนักวิจารณ์การเมืองที่ได้รับการยอมรับผู้หนึ่ง  ระหว่างเกิดสงครามเวียตนาม เขาถึงกับสร้างหนังและกำกับเอง เรื่อง กรีนเบเร่(The Green Berets(1968)) ซึ่งเป็นหนังสนับสนุนให้ทำสงคราม 

                หนังคาวบอยเด่นๆ ที่ จอห์น เวย์น แสดง  ได้แก่ Stagecoach(1939), Red River(1948), The Searchers(1956), Rio Bravo(1959), The Man Who Shot Liberty Valance(1962), The Sons of Katie Elder(1965), El Dorado(1967) และได้รางวัลออสการ์ผู้แสดงยอดเยี่ยม จากหนังเรื่อง True Grit(1969)

                หนังเรื่อง Red River และ The Man Who Shot Liberty Valance เป็นหนังที่ได้รับการวิจารณ์ว่า เป็นตัวอย่างของหนังตะวันตกที่สร้างสรรค์ และมีจุดเด่นหลายๆ ด้าน ซึ่งผู้เขียนดูแล้ว ก็รู้สึกประทับใจมาก แม้จะเป็นหนังขาวดำก็ตาม

                ผลงานอีกอย่างของจอห์น เวย์น คือ การพัฒนาระบบตัวแสดงแทน หรือระบบสตั๊นท์ (stunts system) ร่วมกับสตั๊นท์ญี่ปุ่นชื่อ ยากิมา คานัตต์(Yakima Canutt) ซึ่งยังใช้อยู่ในทุกวันนี้ เขาฝึกขี่ม้าและทักษะอื่นๆ ของคาวบอย จากสตั๊นท์มีชื่อหลายคนจนใช้แสดงได้ในที่สุด

                ในชีวิตของจอห์น เวย์น เขาแสดงหนังทั้งหมด ๑๘๔ เรื่อง(บางแห่งอ้างว่า 200 กว่าเรื่อง) ทั้งที่เป็นหนังคาวบอยและอื่นๆ ในจำนวนนี้เป็นหนังคาวบอยชุด B-western ประมาณ 40 เรื่อง หนังคาวบอยโรงใหญ่อีกประมาณเท่าๆ กัน เรื่องสุดท้ายเขาแสดงในปี ค.ศ. ๑๙๗๖ เป็นหนังคาวบอยในชื่อ The Shootist  ซึ่งพระเอกเป็นมือปืนสูงอายุที่กำลังป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และถูกตามล่าโดยมือปืนรุ่นหลังๆ  ในที่สุดเขาตัดสินใจวาระสุดท้ายของตนเองว่า จะตายด้วยมะเร็ง หรือตายอย่างมือปืน  ซึ่งหลังจากนั้น ๓ ปี ในชีวิตจริง เขาซึ่งเคยเป็นมะเร็งปอดเมื่อปี ๑๙๖๔ จากการสูบบุหรี่ ๖ ซองต่อวัน และรักษาจนหายมาสิบกว่าปีแล้ว แต่มะเร็งก็กลับมาอีก และเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งจริงๆ ในปี ๑๙๗๙  จอห์น เวย์น เสียชีวิตโดยไม่มีโอกาสได้สร้างถาวรวัตถุ เช่น พิพิธภัณฑ์ ไว้เป็นอนุสรณ์ของตัวเองเหมือน ยีน ออทรีและ รอย โรเจอร์ส

จอห์น เวย์น แสดงร่วมกับนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง เกลน แคมป์เบลล์ และดาราสาว คิม ดาร์บี้ ในหนังเรื่อง ทรูกริต(True Grit) และทำให้เขาได้รางวัลออสการ์ผู้แสดงยอดเยี่ยมเพียงเรื่องเดียวในชีวิต

Text Box:  
จอห์น เวย์น และ ดีน มาร์ติน จากหนังแนวสนุกสนาน เรื่อง ริโอ บราโว(1959)

 

               

 

 

                ข้างล่างนี้คือหนังคาวบอยคลาสสิกยุคหนังตะวันตกกำลังเฟื่อง ของจอห์น เวย์น  ที่ได้ทั้งสาระและความบันเทิงที่ไม่ควรพลาด

 

 

 

 

๓.๕. คลิ๊นท์  อีสต์วูด(Clint Eastwood)

                คลิ๊นท์ อีสต์วูด(May 31, 1930 – age 78)[16] เดิมชื่อ คลินตั้น อีสต์วูด จูเนียร์ (Clinton Eastwood, Jr.) เขาเกิดในซาน ฟรานซิสโก รัฐคาลิฟอร์เนีย เป็นดาราหนังคาวบอยที่ถือว่าอยู่ในระดับคลาสสิกคนหนึ่ง  เขาประสบความสำเร็จทางอาชีพสูงกว่าใครในวงการ และยังมีชีวิตอยู่ขณะที่เขียนเรื่องนี้  เขาแสดงหนังหลากหลายประเภท แต่หนังที่ทำให้เขาเริ่มมีชื่อเสียงในวงการจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกคือหนังคาวบอย

                ครอบครัวของคลิ๊นท์เป็นชนชั้นกลางนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์  พ่อทำงานในโรงงานเหล็ก ตอนหลังย้ายไปอยู่ไปด์มองต์ (Piedmont) คาลิฟอร์เนียร์ และเรียยจบวิทยาลัยเทคนิคโอ๊คแลนด์(Oakland Technical High School) ในปี ๑๙๔๙ หลังเรียนจบก็ทำงานหลายอย่าง เช่น เป็นเด็กปั๊มน้ำมัน  เป็นพนักงานดับเพลิง และเล่นเปียโนตามบาร์ในเวลากลางคืน

                คลิ๊นท์ถูกเกณฑ์ทหารในปี ๑๙๕๐ แต่เครื่องบินตกทางเหนือของซานฟรานซิสโก ซึ่งเขารอดมาได้ แต่ก็อดไปรับในเกาหลี หลังพ้นทหาร เขาเริ่มแสดงหนัง B-movie และได้บทหนังคาวบอยเรื่องแรกในปี ๑๙๕๘ ซึ่งเขาบอกว่าเป็นหนังคาวบอยที่ห่วยที่สุดที่เคยสร้างมา

                เริ่มจาก ๙ มกราคม ๑๙๕๙ คลิ๊นท์ได้งานแสดงหนังคาวบอยทีวีซีรี่  รอว์ไฮด์ (Rawhide แปลว่าเชือกหนัง แส้ หรือฟาดแส้) ของสถานีโทรทัศน์ CBS เป็นหนังขาวดำ ตอนละ ๖๐ นาที  ซึ่งเริ่มตามหลังหนังคาวบอยทีวีซีรี่ที่คนติดมากเรื่องหนึ่งคือ Wagon Train และต่อมาก็ได้รับความนิยมสูงพอๆ กัน ทำให้สร้างต่อเนื่องกันถึง ๒๑๗ ตอน จบตอนสุดท้ายในวันที่ ๔ มกราคม ๑๙๖๖ เป็นเวลายาวนานถึง ๕ ปี[17]

ฉากหนึ่งของรอว์ไฮด์ ตอน Incident of the Widowed Dove คลิ๊น กับ อีริค กำลังจะแลกหมัดกัน

                คลิ๊นท์ไม่ได้เป็นพระเอกในหนังเรื่อง รอว์ไฮด์ เป็นแค่ผู้ช่วยพระเอก ชื่อ โรวดี้ เยตส์(Rowdy Yates) พระเอกเป็นหัวหน้าขบวนต้อนวัวหรือที่เรียกว่า เทรลบอสส์(Trail Boss) แสดงโดย  อีริค เฟลมมิ่ง(Eric Fleming) ในปีสุดท้ายของหนัง อีริค เลิกแสดง คลิ๊นท์ จึงได้ขึ้นเป็นตัวเอกของเรื่องเพียง ๑ ปี ก่อนปิดฉากรอว์ไฮด์

                หนังคาวบอยเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวของขบวนต้อนวัวจากตอนเหนือของรัฐเท็กซัส ไปยังเมืองเซดาเลีย(Sedalia) รัฐแคนซัส  แต่ละตอนจะเป็นเรื่องการผจญภัยตามเส้นทางต้อนวัวที่จบในตัว ใช้ชื่อตอนว่า  เหตุการณ์ที่..... (Incident of the .....) เช่น  Incident of the Widowed Dove, Incident of the Tumbleweed, Incident at Spider Rock ยุคแรกๆ ของหนังเรื่องนี้ คลิ๊นท์ อีสวูด รับบทเป็นคาวบอยฝีมือดี แต่เลือดร้อน มักหลงสาวๆ และนำเรื่องเดือดร้อนมาใส่ตัว จนเทรลบอสส์ต้องช่วย  ถือว่าเป็นหนังที่ถ่ายทอดชีวิตคาวบอยรับจ้างต้อนวัวได้ดีมากเรื่องหนึ่ง ซึ่งทำให้ชื่อ คลิ๊นต์ เป็นที่รู้จักกันแทบทุกครอบครัวในอเมริกา ในการให้สัมภาษณ์ถึงบทหนังเรื่องนี้ เขาเรียกบทหนังของตนเองว่า  “คนปัญญาอ่อนแห่งทุ่งราบ”

 

                คลิ๊นต์ อีสต์วูด ได้รับบทพระเอกที่ทำให้โด่งดังไปทั่วโลก จากการแสดงหนังคาวบอยอิตาลีของ เซอร์จีโอ ลิโอเน่(Sergio Leone) ในชุด มือปืนนักล่าเงินรางวัลนิรนาม ๓ เรื่องติดต่อกัน คือ A Fistful of Dollars(1964), For a Few Dollars More(1965) และ The Good, the Bad and the Ugly(1966) หรือในชื่อไทยคือหนังชุด “มือปืนเพชรตัดเพชร”

                ความจริงลิโอเน่ พยายามติดต่อ ชาร์ล บรอนสัน ให้แสดงหนังชุดนั้น แต่เขาปฎิเสธหลายครั้ง จึงกลายเป็นโชคดีของคลิ๊นต์ อีสต์วูด ไปเลย

                หนังทั้ง ๓ เรื่อง ปฎิวัติแนวหนังคาวบอยจากเรื่องสุภาพบุรุษที่ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมในท้องทุ่งหรือเป็นผู้รักษากฎหมายแบบอเมริกัน มาเป็นนักล่าเงินรางวัลแบบยียวนกวนประสาท เต็มไปด้วยเล่ห์กล ซึ่งนักวิจารณ์อ้างว่า ตอนแรกของหนังชุดนี้ ลอกเลียนแนวความคิด มาจากผู้กำกับหนังซามูไรญี่ปุ่น[18] อากิรา คูโรซาว่า ที่โด่งดังในยุคนั้น แต่นำมาดัดแปลงให้สภาพตะวันตกดูป่าเถื่อน ไร้กฎหมายมากกว่าความเป็นจริงที่เคยสร้างกันมา หนังชุดนี้มีอิทธิพล ทำให้รูปแบบหนังคาวบอยยุคหลังๆ เปลี่ยนไปในลักษณะที่ ทำให้สะใจคนดูมากขึ้น ระมัดระวังเรื่องศีลธรรมน้อยลง ไม่พยายามที่จะสอดแทรกเรื่องคุณธรรมน้ำมิตร และจิตใจที่เสียสละของลูกผู้ชาย เหมือนดังหนังคาวบอยอเมริกันที่แสดงโดยดารายุคก่อน หรือหนังของ จอห์น เวย์น , ยีน ออทรี และรอย โรเจอร์ส

 

                 หลังจากนั้น คลิ๊นต์ แสดงหนังคาวบอยอีกหลายเรื่องเช่น  แขวนให้หายแค้น(Hang ’Em High-1968),Two Mules for Sister Sara (1970), ล้างอิทธิพลเถื่อนหรือ “ชื่อข้าไม่มี” (High Plain Drifter -1973), ไอ้ถุยปืนโหด(The Outlaw Josey Wales (1976), Bronco Bill(1980), ไถ่บาปด้วยบุญปืน(Unforgiven-1992) ในบรรดาหนังเหล่านี้ ผู้เขียนชอบ ไอ้ถุยปืนโหดมากที่สุด เนื่องจากเป็นหนังคาวบอยที่สะท้อนสังคมยุคตะวันตกที่สมบูรณ์ที่สุด และรวมรสชาติหนังคาวบอย-อินเดียน ไว้ครบทุกรูปแบบ

                ในช่วงสูงอายุ ปู่คลิ๊นต์ ผันตัวเองมาเป็นผู้กำลับและสร้างหนังเอง ส่วนใหญ่ไม่ใช่หนังคาวบอย เขาเน้นหนังคุณภาพและได้รับรางวัลหลายเรื่อง

                 หนังคาวบอยอิตาลีที่ทำให้คลิ๊นท์กลายเป็นตำนานของดาราคาวบอย ที่คอหนังคาวบอยไม่ควรพลาดแสดงอยู่ข้างล่างนี้

 

 

 

 

๓.๗. ลี แวน คลิฟ(Lee Van Cleef)

                ดาราคาวบอยผมบางแต่มาดเท่ห์ ที่มีชื่ออีกคนหนึ่งก็คือ ลี แวน คลิฟ(Lee Van Cleef) เดิมเขาชื่อ คลาเรนซ์ ลีรอย แวน คลีฟ จูเนียร์(Clarence LeRoy Van Cleef, Jr.-Jan 9, 1925-Dec 16, 1989 อายุได้ 64 ปี) ช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เขาเป็นทหารเรือ เมื่อสิ้นสงครามได้ประกอบอาชีพนักบัญชีอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก็เข้าสู่อาชีพนักแสดง โดยเริ่มจากแสดงละครเวทีบรอดเวย์ จากนั้นก็ก้าวสู่วงการภาพยนต์

                ลีเคยแสดงเป็นตัวประกอบหนังคาวบอย ในบทที่ไม่เด่นมากนักมาหลายเรื่อง เช่น The Rifleman, Gunfight at the OK Corral, The Man Who Shot Liberty Valance, How the West Was Won แต่ที่ทำให้เขามีชื่อก้องโลกคือในหนังเรื่อง For A Few Dollars More และ The Good The Bad and the Ugly(1966) ซึ่งแสดงร่วมกับ คลิ๊นต์ อีสต์วูด และทำให้เขาได้รับการว่าจ้างแสดงหนังคาวบอยอิตาเลียนต่ออีกหลายเรื่อง เช่น หนังในชุดซาบาต้า ที่รู้จักกันดีในไทยได้แก่ ซาบาต้า สิงห์ปืนไว(SABATA), ซาบาต้าปืนมหัศจรรย์(Return of Sabata) และเรื่องอื่นๆ เช่น สองสิงห์พญายม(Death Rides A Horse), นักบุญเพชรตัดเพชร(Gos’s Gun), อาปาเช่เลือดเดือด(Captain Apache), สิบบัญญัติจอมมือปืน(Blood and Grit),  4 จอมอหังการ์(Take a Hard Ride) ในบรรดาหนังเหล่านี้ สิบบัญญัติจอมมือปืนถือว่ามีสาระที่สุด เขาแสดงร่วมกับดารายุโรปรูปหล่อ มอนต์โกเมอรี่ วูด

 

                บุคลิกที่โดดเด่นของลีก็คือ ดวงตา ที่เรียกกันว่า “ตาเหยี่ยว (Egle Eyes)” ซึ่งทำให้เขาได้รับบทร้ายซะมากกว่าดี  โปสเตอร์หนังที่น่าดูของลีบางเรื่องแสดงอยู่ในรูป

 

๓.๘ ดาราหนังคาวบอยที่โด่งดังคนอื่นๆ

                นอกจากดาราหนังคาวบอยที่กล่าวมาแล้ว ยังมีดาราหนังที่ได้รับบทหนังคาวบอยดังๆ อีกหลายคน ซึ่งบางคนก็แสดงหนังคาวบอยไม่กี่เรื่อง จะกล่าวถึงโดยย่อๆ ดังนี้

 

อลัน แลด(Alan Lad) เป็นดาราใหญ่ที่แสดงหนังคาวบอยไม่กี่เรื่อง แต่มีหนังคลาสสิกที่โด่งดังมากของเขาเรื่องหนึ่งคือ เชน (Shane (1953)) ซึ่งเป็นที่ประทับใจของแฟนหนังคาวบอยจำนวนมาก และเป็นที่มาของประโยคเด็ด “Shane, come back, Shane” เป็นหนังเด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี ถ่ายทำได้สวยงามมาก เป็นเรื่องของมือปืนเร่ร่อนที่ได้รับความเอื้อเฟื้อจากครอบครัวหนึ่ง และทำให้เขาต้องตอบแทนน้ำใจด้วยการเสี่ยงทั้งชีวิต  หนังตะวันตกเรื่องแรกของเขาคือเรื่อง  Whispering Smith (1948) เป็นหนังที่เขาแสดงเป็นเจ้าหน้าที่ไปสืบจับผู้ร้ายปล้นรถไฟ ซึ่งกลายเป็นเพื่อนเก่าของเขาเอง ทำให้เรื่องจบลงอย่างสะเทือนใจ เป็นหนังดีเรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่โดดเด่นนักคือเรื่อง Guns of the Timberland (1960)  เขาแสดงหนังประเภทอื่นมากกว่าหนังคาวบอย น่าเสียดายที่ในบั้นปลายชีวิต เขาติดเหล้า  และมีโรคซึมเศร้าที่ติดมาจากทางมารดา ทำให้ชีวิตล้มเหล็วและคาดว่าเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายในวัยแค่ ๕๐ ปี

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 



[1] Buffalo Bill Historical Center - http://www.bbhc.org/bbm/biographyBB.cfm

[2] ข้อมูลจาก http://www.thewildwest.org/interface/index.php?action=304

[3] http://www.americanwest.com/pages/buffbill.htm

 

[4] http://www.ultimatewyoming.com/

[5] http://en.wikipedia.org/wiki/Cody%2C_Wyoming

[6] http://en.wikipedia.org/wiki/Annie_Oakley

[7] http://en.wikipedia.org/wiki/Annie_Oakley

[8] http://en.wikipedia.org/wiki/Annie_Oakley

[9] http://en.wikipedia.org/wiki/Annie_Oakley

[10] http://www.geneautry.com/, http://en.wikipedia.org/wiki/Gene_Autry/, http://www.nashvillesongwritersfoundation.com/fame/autry.html

[11] http://www.cowboypal.com/gnautob.html

[12] http://www.melodyranchstudio.com/

[13] http://www.biography.com/search/article.do?id=9542070&page=2

[14] http://www.royrogers.com/, http://en.wikipedia.org/wiki/Roy_Rogers

[15] http://en.wikipedia.org/wiki/John_Wayne

[16] http://en.wikipedia.org/wiki/Clint_Eastwood

 

[17] http://www.fiftiesweb.com/tv/rawhide.htm

[18] http://en.wikipedia.org/wiki/Clint_Eastwood